UFABETWINS ฟุตบอลอิตาลี มีเสน่ห์ในแบบที่แตกต่างและไม่สามารถมีใครจะลอกเลียนแบบได้ง่าย โดยเฉพาะในยุค 2000’s ยุคที่นุ่มนวลแต่กลับแข็งแกร่ง เชื่องช้าแต่สวยงาม นิ่งๆ แต่กลับมีประสิทธิภาพและเฉียบขาด นั่นคือสิ่งที่ทุกคนรู้และเข้าใจกับฟุตบอล อิตาลี ยุคนั้น
UFABETWINS เอซี มิลาน คือหนึ่งในทีมที่อยู่ในรูปแบบนั้น ทีมยุคนั้นของพวกเขาอุดมไปด้วยนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิค ใช้สมองมากกว่ากำลัง ยกเว้น 1 เดียวที่แตกต่าง.. เจนนาโร่ กัตตูโซ่ กองกลางตัวรับที่แหวกขนบมากที่สุด แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในเฟืองชิ้นที่สำคัญที่สุดเช่นกัน
เด็กแกสคอยน์
อิตาลี คือดินแดนแห่งฟุตบอลแท็คติกอย่างที่ใครรู้กัน สวยงาม ใช้ความคิด และความเยือกเย็นในการแข่งขันแต่ละเกม และ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ เองก็เกิดทันวิธีการเล่นในยุคนั้น เขาคือเด็กหนุ่มที๋โตมาจากสโมสร เปรูจา แถมเคยลงเล่นทั้งในระดับ เซเรีย บี และ เซเรีย อา มาแล้วในช่วงปี 1995-1997 ซึ่งตัวเขากล้าพูดว่า ณ ตอนนั้นถึงจะยังเด็ก แต่เขาไม่เคยกลัวคู่แข่งคนใดเลย
“ตอนที่ผมได้เล่นให้กับ เปรูจา ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นพวกหวาดวิตกขาดความมั่นใจอะไรเลยนะ ผมแค่ถูกส่งลงสนาม จากนั้นผมก็เดินลงไปแบบไร้ความเกรงกลัว ไม่กลัวใคร และไม่กลัวด้วยว่าตัวเองจะทำผิดพลาด” กัตตูโซ่ กล่าวถึงการเล่นในลีกอิตาลีในช่วงที่เขาอยู่ในช่วงอายุทีนเอจ
การได้รู้จักฟุตบอลอิตาลีระดับอาชีพเพียงไม่ถึง 20 เกม ทำให้ กัตตูโซ่ คิดแบบนั้น เขาคิดว่าฟุตบอลไม่ใช่กีฬาที่กดดันหรืออะไรมากมายนัก ซึ่งเหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าเขายังไม่เคยเจอรูปแบบฟุตบอลที่แตกต่างไปจากนี้ …
หลังจากลงเล่นใน เซเรีย อา ได้ 8 เกมในฤดูกาล 1996-97 กัตตูโซ่ ก็ถูก กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ทีมในลีกสก็อตแลนด์ ซื้อตัวไปร่วมทีม ซึ่ง ณ เวลานั้นมีไม่บ่อยนักที่นักเตะจาก อิตาลี จะออกมาค้าแข้งในต่างแดน เนื่องด้วยวงการฟุตบอล อิตาลี ยุคนั้นถือว่าเฟื่องฟูสุดๆ ซูเปอร์สตาร์เดินกันให้ยั้วเยี้ย แถมค่าจ้างก็สูง จนมีประโยคที่ว่า “ไปล่าเงินลีร์” (ค่าเงินของ อิตาลี ก่อนเปลี่ยนมาใช้ ยูโร) เลยทีเดียว
ดิค อัตโวคาท กุนซือชาวดัตช์ของ เรนเจอร์ส เป็นตนตัดสินใจเรื่องนี้ เขาต้องการมิดฟิลด์พลังไดนาโม เพราะ ณ เวลานั้น เรนเจอร์ส มีสายศิลปินลูกหนังอย่าง ไบรอัน เลาดรู๊ป, โยนาส เธิร์น และ พอล แกสคอยน์ อยู่แล้ว ขาดก็แต่คนที่คอยตัดบอลและส่งต่อให้ตัวรุกทำต่อ
ตัวของ กัตตูโซ่ เองคิดว่าหน้าที่แบบนี้ก็ไม่ต่างกับตอนที่เขาทำที่ เปรูจา เท่าไรนัก และเขาคิดถูก.. แต่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ลักษณะคาแร็คเตอร์ของพวกเจ้าถิ่นในทีมนั้นเป็นอะไรที่แตกต่าง เพราะสิ่งที่เขาเจอในทีมไลท์บลูส์ โดยเฉพาะพวกรุ่นใหญ่อย่าง แกสคอยน์, อัลลี่ แม็คคอยส์, สจ๊วต แม็คคอลล์ กลับเป็นนักเตะพวกขาเก๋าตัวดุ ถ้าไม่พอใจก็ตะโกนด่ากันเห็นๆ แบบชัดๆ ไปเลย และนั่นทำให้ กัตตูโซ่ เข้าใจฟุตบอล และการเล่นที่ละเอียดเพิ่มขึ้นอีกระดับ โดยเฉพาะในส่วนของ แกสคอยน์ นั้น ถือว่าเป็นคนที่เปลี่ยนมุมมองของ กัตตูโซ่ โดยตรงเลยทีเดียว
“แกสคอยน์ เป็นพวกนักคิดนอกกรอบ ชอบทำอะไรแหวกและทำให้ห้องแต่งตัวของเราเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผมมีความทรงจำมากมายที่นั่น และได้เห็นถึงความเป็นยอดคนของเขาที่หลายคนไม่ค่อยรู้หรอก”
แม้จะโดนโยกไปเล่นตำแหน่งแบ็คขวา แต่ กัตตูโซ่ ก็อยู่กับ เรนเจอร์ส ได้เพียงปีครึ่ง ก่อนที่ ซาแลร์นิตาน่า ทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นเซเรีย อา จะดึงตัวไปด้วยค่าตัวถึง 4 ล้านปอนด์ ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงปีเดียวที่นั่น เพราะถูกยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง เอซี มิลาน ซื้อตัวเขาด้วยราคามากกว่าเดิม 2 เท่า และหลังจากนั้นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ ริโน่ ก็เริ่มขึ้น
ความลงตัวที่ เอซี มิลาน
กัตตูโซ่ ยังไม่ค่อยได้โดดเด่นนักในช่วงแรกๆ กับ มิลาน ยุคที่มี อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ คุมทัพ เพราะทีมปีศาจแดงดำในฤดูกาล 1999-2000 ผลงานไม่ได้ดีมากมายจนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยการนำ คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามาทำหน้าที่เป็นกุนซือแทน และการที่ อันเช่ เข้ามา ก็นำมาสู่บทบาทที่ กัตตูโซ่ ถนัดอีกครั้ง
อันเชล็อตติ เข้ามาและค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมิลานไปทีละนิดๆ จนกระทั่งถึงฤดูกาล 2003-04 ทุกอย่างก็ลงตัวจนได้ เหล่าจอมเทคนิคที่เป็นศิลปินลูกหนังอย่าง อันเดรีย ปิร์โล่, รุย คอสต้า, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, ริคาร์โด้ กาก้า ถูกนำเข้ามาเติมในแดนกลาง และเมื่อหยิบของเดิมที่มีอยู่อย่าง กัตตูโซ่ และ มัสซิโม่ อัมโบรซินี่ เข้ามาใส่ ทุกอย่างก็เข้าล็อคของมัน
กัตตูโซ่ ได้ทำหน้าที่เหมือนกับที่เขาเคยทำและประสบความสำเร็จกับ เรนเจอร์ส ทุกอย่างที่เขาได้รับที่นั่นถูกนำมาปรับใช้กับทีม เอซี มิลาน ที่ว่ากันว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในรอบหลายปี
เขาจะทำงาหนักในแดนกลาง ตัดบอลและผ่านบอลง่ายๆ ให้คนอื่นที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมรุกเอาไปทำต่อ และเมื่ออยู่ในห้องแต่งตัวเขาจะเป็นเหมือนที่ แกสคอยน์ เคยทำ สร้างความสุข เสียงหัวเราะให้กับเพื่อนร่วมทีม เพราะเมื่อทีมเป็นทีมแล้ว สิ่งที่ตามมาคือชัยชนะนั่นเอง
“ก็เพราะมีเขา ผมจึงเล่นในแบบที่ผมเล่นได้ เขาเป็นกองกลางที่น่าหงุดหงิดชะมัดถ้าคุณเป็นคู่แข่ง แต่เมื่อเขาเป็นเพื่อนร่วมทีม คุณจะสนุกกับการเล่นของเขา” อันเดรีย ปิร์โล่ กล่าวถึงเพื่อนร่วมทีมคนสนิท
ขณะที่ กัตตูโซ่ เองก็เข้าใจในแบบเดียวกัน เมื่อมีเพื่อนร่วมทีมเก่งๆ งานของเขาก็ง่ายดาย โดยเฉพาะการที่ อันเชล็อตติ ถอย ปิร์โล่ ลงมายืนใกล้ๆ กับ กัตตูโซ่ เคมีของทั้งคู่ก็ส่งผลต่อกัน และกลายเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แดนกลางของ มิลาน ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด
“พอ อันเชล็อตติ ถอยเอา อันเดรีย ลงมา ผมบอกเลยว่าผมโชคดีมาก ไอ้หมอนี่มีทักษะและเทคนิคในแบบที่โคตรเหลือเชื่อ เขาเหมือนคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ผมโชคดีมากที่ได้เล่นกับเขา เพราะเมื่อไหร่ที่ผมมีปัญหา ผมแค่ต้องส่งบอลให้กับเขา หลังจากนั้นทุกอย่างก็สิ้นเรื่อง ไม่ใช่แค่ผมทำให้เขาเล่นง่ายหรอก ไม่มีเขาผมก็ตายเหมือนกันนั่นแหละ” กัตตูโซ่ กล่าว
กัตตูโซ่ เป็นเหมือนตัวฮาของทีม เขาเป็นคนที่ชอบแกล้งคนอื่นมากที่สุด และก็เป็นคนที่โดนแกล้งมากที่สุดเหมือนกัน เรียกได้ว่าเขาเป็นคนที่สนิทกับเพื่อนๆ ทั้งทีมเลยก็ว่าได้ ขณะที่เมื่ออยู่ในสนามนั้นเขาไม่เคยกลัวใคร เวลาที่เพื่อนๆ โดนเข้าบอลหนัก กัตตูโซ่ จะเป็นคนแรกที่เข้าไปถึงตัวเสมอ แม้บางครั้งความร้อนแรงของเขาจะทำให้ทีมต้องลำบากไม่ว่าจะด้วยใบแดงหรือใบเหลืองก็ตาม แต่อย่างไรเสียการมีเขาอยู่ในทีมก็เป็นสิ่งที่ทำให้ทีมชุดนี้เกิดสมดุลอย่างไม่น่าเชื่อ
“เวลาอยู่นอกสนามจริงๆ กัตตูโซ่ ไม่ใช่พวกนักพูดหรอกนะ แต่เมื่อไรที่เขาเปิดปาก คุณรับรองได้เลยว่าห้องแต่งตัวของเราจะเป็นเหมือนกับงานริโอ คาร์นิวาล ทุกคนจะหัวเราะไปพร้อมกัน เราก็ชอบแกล้งเขา เวลาฉี่เนี่ย เราไม่เคยปล่อยให้เขาฉี่เสร็จหรอก ต้องแกล้งก่อนทุกทีไป” ปิร์โล่ ขยายความ
สิ่งทีเกิดขึ้นกับมิลานชุดดังกล่าว คือพวกเขาคว้าแชมป์ลีกไปครอง 1 สมัย เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 3 ครั้ง และสามารถได้แชมป์กลับมาถึง 2 สมัย ทุกความสำเร็จที่กล่าวมาทำให้มีคำกล่าวขานว่า มิลาน ชุดนั้นมีแข้งเวิลด์คลาสครบทั้ง 11 ตำแหน่ง แม้แต่ตัวกัตตูโซ่ ที่เคยเป็นผู้ปิดทองหลังพระมาตลอด ก็เป็นคนที่ถูกชื่นชมในหน้าสื่ออยู่เป็นประจำ ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งหรอกที่นักเตะสไตล์แบบเขาจะถูกพูดถึงในแง่มุมนี้ ซึ่ง กัตตูโซ่ ยังรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้เขาติดหนี้บุญคุณกับ อันเชล็อตติ อยู่เลย
“อันเช่ เป็นโค้ชของผมที่มิลานหลายปี เขาเป็นเหมือนพ่อเลย คุณไม่สามารถรักเขาเพราะบุคลิกภาพของเขา เพราะเขาสั่งห้องแต่งตัว เขาเลียนแบบไม่ซ้ำใคร เมื่อเขาพูด เขาวางแผนมาดี รัดกุม และไม่โกรธใครง่ายๆ ความลับสู่ความสำเร็จของเราคือเพราะเราอยู่กับคาร์โลมาเจ็ดปี เรารู้จักกันดีว่าเราเป็นเหมือนครอบครัว” สิ่งที่ กัตตูโซ่ อธิบายถึง โค้ช และเพื่อนๆ บอกได้เป็นอย่างดีว่า มิลาน ชุดนั้นดีจริงตามคำยกยอจากทั่วโลก
พิสูจน์ในระดับโลก
ไม่ใช่แค่ในระดับสโมสรเท่านั้น เจนนาโร่ กัตตูโซ่ ยังมีอิทธิพลในทั้งในและนอกสนามสำหรับทีมชาติอิตาลีด้วย โดยเฉพาะในปี 2006 ซึ่งเป็นปีที่ยากลำบากที่สุดของวงการลูกหนังอิตาลี เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ศรัทธาจากแฟนบอลหายไป เมื่อเกิดคดี กัลโช่โปลี หรือคดีล็อกผล ที่มีทีมชื่อดังเกี่ยวข้องมากมาย
ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นโปรแกรมฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้ายมาถึงพอดี ทีมชาติอิตาลีชุดนั้นจึงเดินทางไปแข่งในแบบที่ไม่มีใครกล้าคาดหวังอะไรใหญ่โต อีกทั้งก่อนเดินทางพวกเขายังโดนแฟนที่บ้านเกิดดูถูกอีกด้วย
“เราออกจากประเทศของเราด้วยการโดนดูถูกสารพัด ทุกๆ ครั้งที่เราลงซ้อม จะมีแฟนๆ ตะโกนด่าเราแบบดุเดือด มันเกิดจากเรื่องอื้อฉาวอย่าง กัลโช่โปลี แม้แต่ตอนนั้น มาร์เซโล่ ลิปปี้ กุนซือของเราก็ยังรู้ตัวว่าเขาจะต้องโดนเขี่ยทิ้งหลังทัวร์นาเมนต์จบไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เนื่องจากลูกชายของเขาก็พัวพันกับคดีนี้ด้วย ฟุตบอลโลก 2006 ถือเป็นช่วงเวลาที่เครียดสำหรับพวกเรามากๆ” กัตตูโซ่ กล่าวก่อนการแข่งขันที่เยอรมันจะเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามในทีมที่ไม่ได้คาดหวัง และทีมที่มีแฟนบอลของตัวเองรอซ้ำเมื่อผิดพลาด ทุกอย่างก็ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยทัศนคติของผู้เล่นแต่ละคนในทีมชุดนั้น นักเตะแทบทุกคนมีสปิริตของการเป็นผู้ชนะ พวกเขาแต่ละคนมีบุคลิกในแบบที่หาทีมจะเปรียบเทียบได้ยาก และหนึ่งในแกนนำของทีมชุดนั้นก็คือ กัตตูโซ่ เองนั่นแหละ
เสียงยืนยันจากผู้เล่นอิตาลีชุดนั้นบอกว่า กัตตูโซ่ ทำหน้าที่เป็นคนขับทีมสปิริต ลดความตึงเครียด และความหวาดกลัวให้กับเพื่อนร่วมทีมได้เป็นอย่างดี และคนที่ยืนยันคือ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ประตูของ ยูเวนตุส ที่ยกให้ “ริโน่” คือคนสำคัญของทีมชุดนั้น
“ริโน่ มักจะพูดติดตลกกับพวกเราเสมอว่า เป็นไง นี่วิชา (ความห้าวไม่กลัวใคร) พวกนี้ข้าได้มาจากกลาสโกว์โว้ย แม้มันจะดูเหมือนเขาพูดเล่นแต่มันมีความจริงซ่อนอยู่ ว่ากันว่าใครก็ตามที่เล่นให้กับ เซลติก หรือ เรนเจอร์ส พวกเขารู้ว่าควรต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร และเรื่องนี้ผมว่าไม่มีใครทำได้ดีกว่า ริโน่ อีกแล้ว พวกเราทุกคนรักเขามาก จริงอยู่ที่บางครั้งเขาก็แสดงความกลัวให้เห็นออกมาเล็กๆ แต่ผมโคตรมั่นใจเลยว่าไอ้หมอนี่มันได้เรียนรู้มาเยอะ สก็อตแลนด์ ให้อะไรกับ ริโน่ มากมายจริงๆ” บุฟฟ่อน กล่าว
ประกายความหวังเล็กๆ จาก กัตตูโซ่ ถูกรวมเข้ากับนักเตะอิตาลีคนอื่นๆ หลังจากนั้นทุกอย่างก็เดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุด พวกเขาคิดวางแผนกันนัดต่อนัด มองกันช็อตต่อช็อต และสุดท้ายก็ไม่มีทีมใดในโลกที่เอาชนะพวกเขาได้ อิตาลี กลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 4.. แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น กัตตูโซ่ ก็ยังช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ดี
“ผมใช้เวลาพักนึงเลยนะที่จะตื่นตัวว่าเราเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก เราไม่เคยคิดอะไรใหญ่โต มีแต่คนบอกว่าเราจะได้กลับบ้านหลังเกมรอบ 4 ทีมสุดท้ายกับ เยอรมัน แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก เรากลายเป็นแชมป์และกลายเป็นวีรบุรุษของชาติไปซะเฉยๆ ทุกอย่างพลิกกลับไปหมดเลยจากวันที่เราเคยโดนดูถูกเมื่อก่อนมาแข่ง”
เมื่อ กัตตูโซ่ รู้ตัวว่า อิตาลี ทำสำเร็จ เขารีบเดินเข้ามาตะโกนใส่หน้าและตบใส่ มาร์เซโล่ ลิปปี้ กุนซือของทีมเข้าอย่างจัง เขารู้ดีว่าหลังได้แชมป์นี้ ไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้นที่จะถูกจดจำ แต่ ลิปปี้ จะถูกมองจากโลกในอีกแบบ เขาไม่ใช่พวกขี้โกง แต่เขาเป็นโค้ชระดับแชมป์โลกที่ใครก็ต้องคารวะ
“เราเป็นหนี้ มาร์เซโล่ ลิปปี้ เขากำลังจะถูกสื่อฆ่าตั้งแต่แรก เรารู้ดี ดังนั้นฟุตบอลโลกจึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับเขา ผมรู้ว่าเขากดดันมาก ดังนั้นเมื่อเราเป็นแชมป์ผมจึงรีบวิ่งไปหาเพื่อฉลองกับเขา ผมอยากให้เขาอยู่ต่อ เพราะผมรู้ว่าคนอย่างเขามีคุณภาพมาก มากเสียจนทำให้พวกเราประสบความสำเร็จครั้งนี้ไง” เขากล่าว
เห็นได้ชัดว่าการมีคนอย่าง กัตตูโซ่ ในทีมเป็นสิ่งสำคัญแค่ไหน นักเตะที่ทำให้ทีมเป็นทีมหาไม่ได้ง่ายๆ และหากมีนักเตะที่เคมีลงตัวกับเขาทั้งในและนอกสนาม สิ่งที่ตามมาคือความสมบูรณ์แบบในลักษณะที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้
กัตตูโซ่ กวาดทุกแชมป์ระหว่างที่เล่นให้ มิลาน แถมยังคว้าถ้วยใหญ่ที่สุดในโลกกับทีมชาติอิตาลี และสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น คือเขาทำให้โลกฟุตบอลรู้ว่า บางครั้งการมีศิลปินที่ทำแต่สิ่งสวยๆ งามๆ ให้กับทีมเพียงอย่างเดียวก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง 100% นัก ทุกทีมต้องมีนักเตะที่ทำงานหนักและรับหน้าที่สกปรกเพื่อทีม.. และหากทีมใดหานักเตะประเภทนี้ได้ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาแล้ว
คลิกเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.airdolomitivirtual.com/