UFABETWINS “พูดไปเดี๋ยวจะมีคนมาหมั่นไส้อีกว่าขี้คุยอะไรแบบนี้ แต่ถ้าทำฟุตบอลแล้วไม่เกทับกัน
ผมว่ามันไม่สนุกหรอก แบบนั้น นอนอยู่บ้าน หรือ นั่งกรรมฐานที่วัดดีกว่า” นี่คือสิ่งที่ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แสดงถึงทรรศนะที่เชื่อว่าแม้ในการแข่งขันทุกทีมจำเป็นต้องมีน้ำใจนักกีฬา แต่ปัจจัยนอกสนามคือสิ่งที่จำเป็นต้องเกทับ บลัฟแหลก เพื่อเป็นสีสัน และทำให้การแข่งขันนั้นเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะในโลกความจริงหรือในการแข่งขันวินนิ่ง ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้เป็นประจำ ติดตามศาสตร์ของการเกทับ ออกตัวแรง และ เล่นสงครามประสาท
เหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงสำคัญนักในการแข่งขัน ไปพร้อมกับ Main Stand ที่นี่แล้วแต่มุมมองเราทุกคนต่างสอนให้รู้จักคำว่า “น้ำใจนักกีฬา” รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สิ่งนั้นหมายถึงการยอมรับในผลของการกระทำ ในการแข่งขันที่เกิดขึ้น ทว่าบางครั้งในการแข่งขันบางอย่างที่มีเดิมพันสูง การเป็นผู้ชนะจะสามารถเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์และถูกจดจำ ส่วนผู้แพ้ทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับกับสิ่งทีเกิดขึ้นและสุดท้ายก็โดนลืมเลือนไปตามกาลเวลา เรียกได้
ว่า “ชัยชนะครั้งเดียว” เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งไปคนละขั้ว ดังนั้นคำว่าน้ำใจนักกีฬาก็อาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป เพื่อความเป็นที่หนึ่งและยืนอยู่บนจุดสูงสุด ทำให้บางครั้งก็ ต้องทำในสิ่ง ที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ดูบ้างนั่นคือ การเกทับ การหยาม หรือการใช้คำพูด กดดันคู่แข่ง หรือที่รวม ๆ แล้วมันมัก จะถูกเรียกว่า “สงครามประสาท” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “psychological warfare” นั่นเอง ในส่วนของฟุตบอล สงครามประสาทไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎและจะโดนลงโทษกันได้ ดัง
นั้นจึงเป็นหนึ่งในวงการที่มีสงครามประสาทเยอะที่สุด ในฟุตบอลต่างประเทศนั้น เจ้าพ่อแห่งสงครามประสาทคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีความเชี่ยวชาญในการเลือกใช้คำพูด เลือกใช้จังหวะในการพูดได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ไม่ใช่ทุกครั้งที่สงครามประสาทของเขาจะทำให้ทีมเอาชนะ แต่ส่วนใหญ่คำพูดที่เขาใช้กดดันคู่แข่ง ไม่ว่าจะพูดในแง่บวกหรือแง่ลบ มันมักจะได้ผลเสมอ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2008-09 ขณะที่ เชลซี
ซึ่งมี หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ คุมทีมนั้นกำลังออกสตาร์ทได้อย่างสวยหรู ชนะติด ๆ กันมาหลายเกม ยิงหลายประตูจนใครต่อใครยกให้เป็นเต็งแชมป์ในช่วงนั้น ทว่าเมื่อมีนักข่าวถาม เซอร์ อเล็กซ์ ว่า คิดอย่างไรกับ เชลซี ชุดนี้ เขาเพียงแต่บอกสั้น ๆ ว่า “ลิเวอร์พูล ต่างหากคือทีมที่ผมไม่อาจจะกาชื่อทิ้งจากการลุ้นแชมป์ได้ ส่วนเชลซีนั้นลืมไปได้เลย””ทีมที่จะลุ้นแชมป์กับเรา ผมไม่อาจกาชื่อ ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอลออกไปได้ ส่วนเชลซีนั้นแก่เกินแกง พวกเขาผ่านจุดสุดยอด
กันไปหมดแล้ว” ผลออกมาคือ สโคลารี่ ทำทีมหมดลุ้นแชมป์ ก่อนจะโดนปลดออกจากตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 …อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นกลายเป็น ลิเวอร์พูล ของ ราฟา เบนิเตซ ที่ขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์กับ ยูไนเต็ดจริงๆ หลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงจากการประสานของ เฟร์นานโด ตอร์เรส และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และมีแต้มนำปีศาจแดงอยู่ถึง 7 แต้มหลังผ่านเดือนมกราคม แม้จะแข่งน้อยกว่าสองนัดก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าคราวนี้นักข่าวถามเฟอร์กี้ใน
ลักษณะเดียวกัน แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ชื่นชมคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งบอกปัดคำตอบไป แต่เขาบอกเป็นนัย ๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้กังวลกับฟอร์มของพวกเขา” “ไม่ต้องสงสัยอะไรมากมายนัก ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลพวกเขาจะธาตุไฟแตกกระวนกระวายใจในทุกท่วงท่า พวกเขาจะเข้าสู่โลกอีกใบที่พวกเขาไม่รู้จัก (ลุ้นแชมป์ลีก) ตอนนั้นแหละพวกเขาจะได้รู้แน่ พลาดเมื่อไหร่จะถูกลงโทษเมื่อนั้น” “พวกเขาไม่เหมือนกับเรา เราเป็นสโมสรที่คว้าแชมป์รายการใหญ่มา
ตลอด 2-3 ปีหลัง และประสบการณ์เหล่านั้นมันช่วยเราได้แน่” เฟอร์กี้ ว่าไว้และผลสุดท้ายคือ ปีศาจแดง จบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ด้วยการมีแต้มเหนือ ลิเวอร์พูล 4 แต้ม … ทั้ง ๆ ที่ในปีดังกล่าว ยูไนเต็ด เสียท่าให้กับ ลิเวอร์พูล แบบไปกลับทั้งในบ้านและนอกบ้านอีกด้วย นั่นคือประโยชน์ของการใช้จิตวิทยาในเกมฟุตบอลจริงๆ ย้อนกลับมาที่ โลกแห่งเกมอีก ครั้งสงครามจิตวิทยา ในเกม “วินนิ่ง” นั้นจะแตกต่างออก ไปจากฟุตบอลจริง ๆ อยู่ไม่น้อย ตรงที่มันไม่ใช่การ
สัมภาษณ์และ ถูกโยนคำถาม ให้จากนักข่าว แต่มันคือคนสองคน ที่ถือจอยประจัน หน้ากันแบบโต้ง ๆ ดังนั้นสงคราม จิตวิทยาของคอ เกมวินนิ่งจะใช้ถ้อยคำที่รุนแรงและจี๊ดใจได้มากกว่า โดยไม่ต้องเป็นห่วงภาพพจน์กัน เพราะส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนฝูงกันอยู่แล้ว ทว่าในการแข่งขันที่ไม่มีใครอยากแพ้ มิตรภาพจะถูกวางไว้ชั่วคราว และสงครามประสาทจะเริ่มขึ้นอย่างร้อนแรง “อ่อน, กาก หรือกระจอก” คือคำพูดที่แสนจะคุ้นเคย แต่กลับกลายเป็นคำพูดที่ใช้กระตุ้นอุณหภูมิเกมได้
เป็นอย่างดี เมื่อใดที่คำพูดนี้เกิดขึ้น เมื่อนั้นสีหน้าของความเอาจริงก็จะปรากฎ สงครามประสาทแบบวินนิ่งนั้นไม่ได้มีชั้นเชิงหรือคิดวิเคราะห์คำพูดอะไรมากนัก คิดแล้วก็พูดออกมาเลย แต่ก็เพราะจุดนี้นี่เแหละที่ทำให้ชัยชนะในแต่ละนัดมีความหมายมาก แม้มันจะเป็นเพียงเกมหรือโลกเสมือนจริงก็ตาม จะเห็นได้ว่าของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับมุมมอง ผู้จัดการทีมในฟุตบอลจริง หรือแม้แต่คนเล่นเกมวินนิ่งนั้นมีหลายรูปแบบหลายประเภท บางคนไม่ชอบพูด ชอบมีสมาธิกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำ พวกเขาจะมองว่าสงครามประสาทนั้นเป็นสิ่งที่ไร้สาระไม่ตอบโต้ แต่แน่นอนว่าเมื่อมีขั้วบวกก็ต้องมีขั้วลบ การเล่นสงครามประสาทจะกลายเป็นของสนุกสำหรับกุนซือหรือผู้เล่นบางคน … เหตุผลเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้มองเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง ไม่ใช่แค่การฝอยน้ำลายแตกเท่านั้น
คลิ๊กเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล